Home

October 19, 2023927 468

แม้ว่าโซเชียลมีเดียมีข้อดีหลายอย่าง แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อเสียด้วยเสมอ มีการศึกษาวิจัยเรื่องผลจากการใช้โซเชียลมีเดียกับการทำงานของสมอง พบว่าคนที่ใช้โซเชียลมีเดียบ่อยและมากในระดับหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม อารมณ์ และความสามารถในการเรียนรู้ เช่น มักอ่านอะไรสั้นๆ ไม่อ่านเนื้อหาทั้งหมด ทำให้ขาดทักษะการจับใจความและวิเคราะห์ข้อมูล เห็นคนอื่นมีสิ่งต่างๆ เกิดการเปรียบเทียบ ทำให้ทุกข์ใจ จนอาจเป็นซึมเศร้าได้ เวลาที่เราใช้โซเชียลมีเดีย สมองต้องรับข้อมูลปริมาณมากในเวลาเดียวกัน (ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น) ทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน สมองถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวตลอดเวลา เวลาเล่นมีการหลั่งสารเคมีโดปามีนออกมา ทำให้เกิดอาการติดได้ (เหมือนคนติดสารเสพติด) สมองมีกระบวนการเก็บข้อมูลที่เรียนรู้ใหม่และความทรงจำใหม่ที่แย่ลง ความสามารถในการตัดสินใจไม่ดี การอดทนรอคอยลดลง จนมีอาการเหมือนคนเป็นโรคสมาธิสั้นได้



เมื่อติดโซเชียลมีเดียมากถึงในระดับหนึ่งจะวินิจฉัยว่าเป็น “โรคเสพติดโซเชียลมีเดีย” ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะอาการดังกล่าวส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน การดูแลสุขภาพสุขอนามัย หรือสัมพันธภาพกับผู้อื่น เกณฑ์การวินิจฉัยต้องมีอาการครบ 4 ข้อ คือ

1. เล่นมากจนเกินไป เช่น เล่นไม่รู้จักเวลา ไม่กิน ไม่นอน เสียการเรียน เสียสัมพันธภาพกับคนอื่น

2. มีอาการถอนเมื่อไม่ได้เล่น เช่น หงุดหงิด อาละวาด ทำลายข้าวของ เครียด ซึมเศร้า

3. มีความต้องการที่จะเล่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เพิ่มจำนวนเวลาในการเล่น ความทันสมัยของอุปกรณ์

4. มีพฤติกรรมที่ไม่ดีที่ตามมาเพื่อให้ได้เล่น เช่น ขโมยเงิน โกหก ทะเลาะกับคนรอบข้าง

“โรคเสพติดโซเชียลมีเดีย” มักพบร่วมกับโรคทางจิตเวชอื่นได้บ่อย จำเป็นต้องให้การรักษาควบคู่กันไป เช่น โรคสมาธิสั้น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคกลัวการเข้าสังคม โรคย้ำคิดย้ำทำ พฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าว การใช้สารเสพติด


ข้อเสียอื่นๆ ที่ตามมาจากการใช้โซเชียลมีเดียที่ต้องเฝ้าระวัง ตัวอย่างเช่น การกลั่นแกล้งและคุกคาม (Cyberbullying and Online Harassment) การรับหรือส่งสื่อลามกไปให้คนอื่น (Sexting) ภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป การถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล การถูกจูงใจให้ซื้อของมากเกินความจำเป็น


ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งที่คนมักมองข้ามไปและเป็นประเด็นที่สำคัญ คือ การใช้โซเชียลมีเดียทำให้คนติดอยู่ในโลกนั้น ถอยห่างจากโลกความเป็นจริง เพราะโลกโซเชียลมีเดียทำให้เรารู้สึกมีอำนาจ อยากเป็นใครก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ ซึ่งแตกต่างจากชีวิตจริงที่เราต้องอยู่ในกฎกติกาของสังคม บางคนเล่นมากเกินไปจนไม่มีสัมพันธภาพกับคนอื่นในชีวิตจริง ไม่ออกจากบ้าน ขาดโอกาสฝึกทักษะการเข้าสังคม แม้บางคนจะคิดว่าการใช้โซเชียลมีเดียเป็นรูปแบบการสื่อสารอย่างหนึ่ง แต่อย่าลืมว่ามันเป็นการสื่อสารทางเดียว (One way communication) ที่ไม่เหมือนกับการที่เรามาคุยกันต่อหน้า ได้เห็นภาษากาย (Nonverbal) ของอีกฝ่าย และมีการตอบสนองกันทันที เช่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเครียด เราสามารถพูดปลอบและใช้การแตะสัมผัสให้กำลังใจกันได้ พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียอาจทำให้คนเราห่างเหินกันมากขึ้น แม้จะนั่งติดกันก็ตาม เช่น ครอบครัวที่นั่งกินข้าวพร้อมกัน แต่ทุกคนก้มหน้าเล่นมือถือ (Phubbing) ไม่มีการพูดคุยกัน



เด็กและเยาวชนถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดโซเชียลมีเดียและได้รับผลเสียจากการใช้ เช่น ถูกหลอกให้โอนเงิน ถูกหลอกให้ถ่ายรูปอนาจารส่งไปให้อีกฝ่ายดู การป้องกันและการให้การช่วยเหลือตั้งแต่แรกเริ่มจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ วิธีการ คือ พิจารณาอายุของเด็กว่าสามารถเข้าใช้เว็บใดได้หรือไม่ได้ ใช้โปรแกรมกรองเว็บที่ไม่เหมาะสม มีกติกาในการใช้โซเชียลมีเดีย รู้พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของเด็ก สอนเด็กไม่ให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคลตามเว็บต่างๆ ติดตามดูรูปของเด็กที่โพสต์ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กในการใช้โซเชียลมีเดีย สอนเรื่องความคงอยู่ของข้อมูลที่โพสต์ลงไป สอนเรื่องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้โซเชียลมีเดีย และผู้ใหญ่ต้องตามเทคโนโลยีให้ทันเด็ก


หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีพฤติกรรมที่ติดโซเชียลมีเดียมากเกินไปจนเริ่มมีผลเสียต่อการใช้ชีวิต วิธีการช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น พยายามลดเวลาที่เล่นลง กำหนดเวลา จำนวนครั้งที่จะเช็คข้อมูลต่อวัน ลบแอปพลิเคชันที่ทำให้ติดมากๆ ออกจากเครื่อง เวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นๆ ให้เอาอุปกรณ์หน้าจอห่างจากตัวให้มากที่สุด แต่ถ้าได้ลองหลายวิธีแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา


This website uses cookies

We use cookies to improve website performance. You can learn more about the use of cookies at Cookie Policy
Accept
version 1.0.5-70462ffd7